เมื่อสมัยยังเด็ก เคยคิดอยากบินได้เหมือนนกกันบ้างไหมคะ? เวลานอนทอดตัวกับผืนหญ้ามองดูท้องฟ้า แล้วอยากเอื้อมมือไปหยิบปุยเมฆสีขาวกันบ้างหรือเปล่า? ฉันว่าเด็กๆทุกคนไม่ว่าจะชาติไหนภาษาใดก็ล้วนแต่คิดคล้ายๆกับแบบนี้ และในภาษาไทยของเราก็ได้บัญญัติคำขึ้นมาใช้แทนการคิดแนวนี้ว่า “ฝัน” ซึ่งหมายถึงความไฝ่ฝัน ไม่ใช่ความฝันยามหลับ
ฟังแล้วรู้สึกยังไงกันบ้าง? ไม่รู้สินะแต่ฉันชอบคำว่า “ฝัน” มากกว่าคำว่า “หวัง” นะ ฉันว่า “หวัง” ทำให้รู้สึกถึงความเครียด มันบ่งบอกถึงความต้องการเป็นเป้าหมายที่ต้องบรรลุผลให้ได้ถ้าผิดหวังก็จะรู้สึกเสียใจ ร้องไห้ฟูมฟาย แต่คำว่า “ฝัน” มันไม่ใช่ มันเหมือนกับการจินตนาการ เป็นโลกส่วนตัวที่ไม่จำเป็นจะต้องสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องจับต้องได้ แค่เพียงได้ฝัน และทำตามความฝันบ้างเท่านั้นก็มีความสุขแล้ว…
และฉันเองก็เป็นเช่นนั้น เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ เคยฝันว่า “อยากบินได้เหมือนนก” “อยากกินปุยเมฆสีขาวที่ดูเหมือนอ่อนนุ่นราดน้ำแดงปะหน้าด้วยนมข้นหวาน” พอโตขึ้นอีกหน่อยก็เริ่มที่จะฝันถึงเรื่องอาชีพ อยากจะเป็นโน่น เป็นนี่ และที่อยากจะเป็นที่สุดในตอนนั้นคือ “ครู” จำได้ว่าตอนนั้น พ่อและแม่ซื้อสมุดกับดินสอและตุ๊กตามาให้ วันทั้งวันฉันจะเล่นกับตุ๊กตาโดยที่ฉันเป็นครูและตุ๊กตาเป็นนักเรียน สมมุติให้ห้องนอนเป็นห้องเรียน หนักๆเข้าก็เกณฑ์คนในบ้านมานั่งเป็นนักเรียนกันทั้งบ้าน เรียกรอยยิ้มจากคนที่บ้านได้เสมอ นี่แหละที่เค้าเรียกว่า “อำนาจของความฝัน” ยังไม่นับอีกร้อยแปดพันฝันที่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนไปเรื่อย เช่น ฝันอยากเป็นหมอ เป็นสถาปนิก อยากเป็นมัณฑนากร อยากเป็นจิตรกร อยากเป็นนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ นักพัฒนา ไม่เว้นแต่นักร้องลูกทุ่ง ซึ่งฉันคิดว่า ทุกคนก็เคยเป็นแบบนี้ เคยที่จะฝัน และมีความสุขกับสิ่งที่ฝัน
ตราบใดที่เรายังมีความฝัน ตราบนั้นก็คือ เรายังมีชีวิต แม้ทุกวันนี้ เราจะอยู่ในโลกของความเป็นจริง แต่ความฝันไม่ใช่เรื่องเหลวไหล อย่าหยุดฝัน เพราะถ้าคุณยังมีมันสักวันคุณต้องไปถึงขอให้ทุกคนที่มีฝัน ได้เดินทางถึงฝั่งฝัน
นางฟ้าปาสาดแดก
2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC